"AMY"

ชีวิตคนเราต่างเปราะบาง.. .ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

     ในช่วงนี้หลายคนกำลังวิจารณ์และถกเถียงถึงหนังเรื่องฟรีแลนซ์ เราขอขัดจังหวะนิดนึงด้วยการเล่าถึงหนังสารคดี เรื่อง "AMY" ที่ไปดูมาหลายวันแล้วแต่ความรู้สึกมันยังวนเวียนไม่ไปไหน เลยคิดว่าคงต้องเขียนระบายมันออกมา แม้ว่าเราเองไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการวิจารณ์หนังและคงไม่อาจเอื้อมวิจารณ์งานใคร แต่อยากเล่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเองหลังดูจบ

     เราไม่ใช่แฟนเพลงของ Amy Winehouse แต่หลังจากเห็นตัวอย่างของหนังเรื่องนี้ตอนที่ไปดู The Wolfpack ซึ่งเป็นหนังสารคดีเรื่องแรกที่ตัดสินใจลองดู ก็ไม่น่าเชื่อว่าแค่ตัวอย่างมันจะกระทบความรู้สึกเราได้ขนาดนั้น เลยคิดในใจว่าถ้าเมื่อไร AMY เข้าฉาย..เราจะมาดู


     ก่อนหนังเข้าเราก็ย้อนฟังเพลงดังๆ ของเอมี่หลายเพลง และเพิ่งจะรู้ว่าเพลงของเอมี่เป็นแจ๊สที่เข้าถึงได้ไม่ยาก เราฟังแจ๊สมาก็ไม่มากมายอะไร แต่รับรู้ได้ว่าแจ๊สของเอมี่มันจับต้องได้ ท่วงทำนองไม่ได้ซับซ้อนแบบแจ๊สเทพๆ ที่เคยฟังมา
     ความเป็นหนังสารคดีที่พูดถึงเอมี่ในมุมที่ต่างออกไปจากที่เราเคยได้เห็นหรือได้รับรู้ตามข่าว ชีวิตเอมี่พบเจอกับความดังในแบบที่เธอไม่เคยคาดคิด ผลงานของเธอเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย วิถีที่เคยดำเนินมาก็เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะด้วยเพราะสื่อ แฟนเพลง หรือแม้กระทั่งจากตัวเอมี่เอง 


     เราคิดว่า ความเปราะบางในชีวิตเธอคือเรื่อง "ความรัก" เพราะเป็นสิ่งเดียวที่เธอโหยหาและเธอทุ่มเทกับมันอย่างสุดตัว แต่มันก็เป็นธรรมดาของความรักที่มีทั้งสุขสัมหวังและทุกข์ระทมทั้งจาก "คนรักและคนที่เรารัก" 
     เอมี่มีบาดแผลในจิตใจที่สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เธอใช้ชีวิตแบบไม่มีทิศทาง เคว้งคว้าง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เกิดแค่ชั่วครั้งชั่วคราว มันกินเวลายาวนานพอที่จะกัดกร่อนความเข้มแข็งในตัวเอมี่ จนทำให้ไม่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองอีกต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เอมี่ยังรู้สึกว่าตัวเองยืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้ได้คือ การทำเพลง แต่งเพลง ร้องเพลงและเล่นดนตรีแจ๊สที่เธอรัก
     คงจะไม่ถูกต้องเท่าไรหากจะไปโทษคนรักหรือคนรอบข้างของเอมี่ทั้งพ่อ แม่ และเหล่าเพื่อนๆ ที่ไม่อาจช่วยประคับประคองชีวิตเอมี่ไว้ได้ แต่คนรอบตัวเธอต่างก็รู้สึกผิดมากบ้างน้อยบ้างเมื่อเอมี่เสียชีวิต 




     เราคิดว่า คนเราทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง และเราจะรู้ตัวดีที่สุดว่าจะต้องจัดการกับความอ่อนแอและความเปราะบางเหล่านั้นยังไง และต้องอาศัยเวลาในการเรียนรู้และเติบโตไปกับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เอมี่ยังไม่ทันได้เรียนรู้วิธีการจัดการกับความเปราะบางในตัวเธอเอง หรืออาจจะรู้ตัวและพอจะเข้าใจมันบ้างแล้วแต่ก็ยังก้าวข้ามมันไปไม่ได้
     เขียนมาถึงตรงนี้ก็งงไปหมดแล้วว่าพยายามจะสื่ออะไร (แล้วคนอ่านจะรู้เรื่องรึป่าวก็ไม่รู้) แต่โลกเราก็เป็นแบบนี้บางอย่างอธิบายได้ บางอย่างอธิบายไม่ถูก บางอย่างก็ไม่ต้องอธิบายมันจะดีกว่า 


     "I love to live and I live to love." -- Amy Winehouse 



ปล.ขอบคุณ Documentary Club ที่ทำให้เรารู้จักหนังสารคดี และทำให้เรารู้จักเอมี่มากขึ้น 

ความคิดเห็น