วันที่ 15 ธันวาคม 2554 เป็นวันที่เข้ามาทำงานครบ 3 เดือน จากวันแรก 15 กันยายน 2554 ถือว่าเป็นช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงกับชีวิตค่อนข้างมาก ได้เข้ามาสัมผัสกับแวดวงสื่อมวลชนที่ไม่ค่อยคุ้นเคย เพราะเรียนจบด้านเศรษฐศาสตร์มา แต่ก็ยังดีที่พอจะเคยทำงานหนังสือพิมพ์มาบ้าง
ข้อดีของการที่จบเศรษฐศาสตร์แล้วมาเป็นผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจ คือ พื้นฐานทางด้านข้อมูลเรื่องเศรษฐกิจที่ฟังแล้วเข้าใจได้ไม่ยาก แต่บางครั้งก็เป็นข้อเสีย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมีหลายคราวที่ขัดกับสิ่งที่เรียนมาโดยสิ้นเชิง
บางเหตุการณ์ก็ไม่เห็นจะเป็นแบบทฤษฎีที่ได้ร่ำเรียนมา
จนบางครั้งทำให้มีความคิดว่า ... แล้วเรียนมาทำไม??
แต่เมื่อนึกทบทวนดูแล้วทฤษฎีที่เรียนมานั้นล้วนแล้วแต่ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไข มีกรอบของหลักการที่ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งแตกต่างกับสภาพเศรษฐกิจของโลกทุกวันนี้ที่ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แทบจะทุกวินาที ทุกลมหายใจเลยทีเดียว
คงจะไม่แปลกหากแนวทางแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่ได้ทำกันอยู่ทุกวันนี้มันจะประสบผลไม่เต็มร้อย หรือไม่เป้นอย่างที่ควรจะเป็น เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบพลวัต (Dynamic) หมายความว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีการเคลื่อนไหว นั่นคือทุกอย่างมันไม่สามารถควบคุมได้
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การเรียนมาทางเศรษฐศาสตร์ดัชนีตัวนึงที่มีความสำคัญมาก คือ GDP เมื่อได้มาทำงานผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจทุกภาคส่วนในแวดวงต่างก็ให้ความสนใจกับดัชนนี้ ซึ่งถูกคิดค้นขึ้นมาโดยนักเศรษฐศาสตร์
ลองคิดกลับกันเล่นๆ หากทุกคนบนโลกนี้ไม่สนใจ GDP อยากรู้เหมือนกันว่า ผู้คนบนโลกใบนี้จะมีพฤติกรรมอย่างไร ทุกประเทศจะเร่งแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายอย่างทุกวันนี้หรือไม่ จิตนาการไปถึงสังคมในอุดมคติที่มีนักปรัชญาคิดไว้อย่าง ยูโทเปีย อาจจะเกิดขึ้นก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม จาก 3 เดือนที่ผ่านมานี้ทำให้รู้ว่า ชีวิตคนเราการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญ คนเรามีความกลัวเพราะเราไม่รู้ ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เมื่อได้รู้แล้ว เราก็จะไม่กลัวมันอีกต่อไป
ในชีวิตไม่เคยตั้งเป้าหมายไว้อย่างจริงจังว่า ชีวิตนี้อยากเป็นอะไร ไม่ค่อยมีความคาดหวังทางด้านอาชีพ ว่าจุดที่เรียกว่าประสบความสำเร็จมันอยู่ตรงไหน เหมือนใช้ชีวิตไปตามกระแส แต่ก็คิดว่าไม่ใช่กระแสสังคม อาจจะเป็นกระแสของจิตใต้สำนึก เห็นว่าอยากทำ ก็ทำ เห็นแล้วว่าได้เรียนรู้ ก็เรียนรู้
มีหลายคนชอบถามว่าจบเศรษฐศาสตร์ ทำไมไม่ทำงานแบงค์?? ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปบอกเขาเหล่านั้นเหมือนกัน เพียงแต่คิดในใจว่า ตั้งใจอยากจะทำหนังสือ เพราะคิดว่า หนังสือเป็นแหล่งความรู้ที่คลาสสิกมาก มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้ เกิดจิตนาการ และสร้างสรรค์อะไรได้อีกมากมาย
นี่คงเป็นแค่การเริ่มต้นของชีวิตในแบบใหม่ๆ ที่จะได้สัมผัส แม้จะมีอุปสรรคปัญหาทั้งใหญ่น้อย ผ่านเข้ามาวัดใจกันเป็นระลอก แต่ก็เชื่อว่าด้วยความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ กำลังใจจากครอบครัว จะทำให้สามารถก้าวข้ามความยากลำบากต่างๆ ไปได้
ก็คงเหมาะที่จะใช้ประโยคที่ว่า.. . หนทางยังอีกยาวไกล :)
ข้อดีของการที่จบเศรษฐศาสตร์แล้วมาเป็นผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจ คือ พื้นฐานทางด้านข้อมูลเรื่องเศรษฐกิจที่ฟังแล้วเข้าใจได้ไม่ยาก แต่บางครั้งก็เป็นข้อเสีย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมีหลายคราวที่ขัดกับสิ่งที่เรียนมาโดยสิ้นเชิง
บางเหตุการณ์ก็ไม่เห็นจะเป็นแบบทฤษฎีที่ได้ร่ำเรียนมา
จนบางครั้งทำให้มีความคิดว่า ... แล้วเรียนมาทำไม??
แต่เมื่อนึกทบทวนดูแล้วทฤษฎีที่เรียนมานั้นล้วนแล้วแต่ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไข มีกรอบของหลักการที่ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งแตกต่างกับสภาพเศรษฐกิจของโลกทุกวันนี้ที่ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แทบจะทุกวินาที ทุกลมหายใจเลยทีเดียว
คงจะไม่แปลกหากแนวทางแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่ได้ทำกันอยู่ทุกวันนี้มันจะประสบผลไม่เต็มร้อย หรือไม่เป้นอย่างที่ควรจะเป็น เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบพลวัต (Dynamic) หมายความว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีการเคลื่อนไหว นั่นคือทุกอย่างมันไม่สามารถควบคุมได้
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การเรียนมาทางเศรษฐศาสตร์ดัชนีตัวนึงที่มีความสำคัญมาก คือ GDP เมื่อได้มาทำงานผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจทุกภาคส่วนในแวดวงต่างก็ให้ความสนใจกับดัชนนี้ ซึ่งถูกคิดค้นขึ้นมาโดยนักเศรษฐศาสตร์
ลองคิดกลับกันเล่นๆ หากทุกคนบนโลกนี้ไม่สนใจ GDP อยากรู้เหมือนกันว่า ผู้คนบนโลกใบนี้จะมีพฤติกรรมอย่างไร ทุกประเทศจะเร่งแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายอย่างทุกวันนี้หรือไม่ จิตนาการไปถึงสังคมในอุดมคติที่มีนักปรัชญาคิดไว้อย่าง ยูโทเปีย อาจจะเกิดขึ้นก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม จาก 3 เดือนที่ผ่านมานี้ทำให้รู้ว่า ชีวิตคนเราการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญ คนเรามีความกลัวเพราะเราไม่รู้ ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เมื่อได้รู้แล้ว เราก็จะไม่กลัวมันอีกต่อไป
ในชีวิตไม่เคยตั้งเป้าหมายไว้อย่างจริงจังว่า ชีวิตนี้อยากเป็นอะไร ไม่ค่อยมีความคาดหวังทางด้านอาชีพ ว่าจุดที่เรียกว่าประสบความสำเร็จมันอยู่ตรงไหน เหมือนใช้ชีวิตไปตามกระแส แต่ก็คิดว่าไม่ใช่กระแสสังคม อาจจะเป็นกระแสของจิตใต้สำนึก เห็นว่าอยากทำ ก็ทำ เห็นแล้วว่าได้เรียนรู้ ก็เรียนรู้
มีหลายคนชอบถามว่าจบเศรษฐศาสตร์ ทำไมไม่ทำงานแบงค์?? ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปบอกเขาเหล่านั้นเหมือนกัน เพียงแต่คิดในใจว่า ตั้งใจอยากจะทำหนังสือ เพราะคิดว่า หนังสือเป็นแหล่งความรู้ที่คลาสสิกมาก มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้ เกิดจิตนาการ และสร้างสรรค์อะไรได้อีกมากมาย
นี่คงเป็นแค่การเริ่มต้นของชีวิตในแบบใหม่ๆ ที่จะได้สัมผัส แม้จะมีอุปสรรคปัญหาทั้งใหญ่น้อย ผ่านเข้ามาวัดใจกันเป็นระลอก แต่ก็เชื่อว่าด้วยความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ กำลังใจจากครอบครัว จะทำให้สามารถก้าวข้ามความยากลำบากต่างๆ ไปได้
ก็คงเหมาะที่จะใช้ประโยคที่ว่า.. . หนทางยังอีกยาวไกล :)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น